พระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ (ฉบับที่ 2)

พระราชบัญญัติ
สภาวิจัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๐๗

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๗
เป็นปีที่ ๑๙ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯให้ประกาศว่า

โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยสภาวิจัยแห่งชาติ

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ
และยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภา ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๗”

มาตรา ๒ * พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
*[รก. ๒๕๐๗/๘๘/๖๑๖/๑๕ กันยายน ๒๕๐๗]

มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ
สภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๕ ให้มีสภาวิจัยแห่งชาติประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
รองนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธาน และกรรมการอื่น ๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะได้แต่งตั้งขึ้น ให้
เลขาธิการสภาวิจัยแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ และรองเลขาธิการเป็นกรรมการและ
ผู้ช่วยเลขานุการ
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงและปลัด
บัญชาการเป็นที่ปรึกษาสภาวิจัยแห่งชาติ “

มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติ
สภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๖ สภาวิจัยแห่งชาติมีหน้าที่เกี่ยวกับการวิจัยตามที่คณะรัฐมนตรี
จะได้มอบหมาย และพิจารณาข้อเสนอของสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติเกี่ยวกับการที่สำนักงานสภา
วิจัยแห่งชาติเสนอตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้แล้วทำความเห็นเสนอคณะรัฐมนตรี กับมีหน้าที่
เสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรีในกิจการเกี่ยวกับการวิจัยตามที่นายกรัฐมนตรีขอให้พิจารณา
ดำเนินการ “

มาตรา ๕ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๗ กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่ง
คราวละสามปี กรรมการที่พ้นจากตำแหน่งคณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้งเป็นกรรมการอีกได้
เมื่อได้มีการแต่งตั้งกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติแล้ว และต่อมาคณะรัฐมนตรี
ได้แต่งตั้งกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติขึ้นอีก ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลือ
อยู่ของกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้ก่อนแล้ว “

มาตรา ๖ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๑ ให้มีสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติ และให้มีเลขาธิการสภาวิจัยแห่ง
ชาติคนหนึ่งและรองเลขาธิการสองคน เลขาธิการมีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไป ซึ่งราชการของ
สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติ และบังคับบัญชาข้าราชการในสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติ
สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
(๑) เสนอแนะแนวนโยบายและโครงการส่งเสริมการวิจัยซึ่งเห็นสมควร
เสนอคณะรัฐมนตรีต่อสภาวิจัยแห่งชาติ
(๒) พิจารณาจัดตั้งสาขาวิชาการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๗
แล้วเสนอต่อสภาวิจัยแห่งชาติ
(๓) พิจารณาวิธีการหาทุนบำรุงการวิจัยและเสนอแนะสภาวิจัยแห่งชาติ
เพื่อให้ได้มาซึ่งทุนเพื่อการวิจัย
(๔) เสนอรายงานประจำปีเกี่ยวกับผลงานการวิจัยต่อสภาวิจัยแห่งชาติ
(๕) ส่งเสริมและจัดให้มีการวิจัยและสถาบันการวิจัย
(๖) ประสานงานวิจัยของสาขาวิชาการต่าง ๆ
(๗) ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยส่วนราชการและส่วนบุคคล
(๘) จัดให้มีทะเบียนนักวิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาการต่าง ๆ
(๙) มอบหมายให้ผู้รับมอบปฏิบัติการเฉพาะอย่างเกี่ยวกับการวิจัย
(๑๐) พิจารณาจัดตั้งงบประมาณเกี่ยวกับการวิจัย
(๑๑) จัดสรรเงินอุดหนุนและเงินรางวัลเกี่ยวกับการวิจัย

(๑๒) ติดต่อและส่งเสริมการร่วมมือกับสถาบันการวิจัยและนักวิจัยในต่าง
ประเทศ
(๑๓) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของสภาวิจัย
แห่งชาติหรือสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติ'

มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๓ ให้มีกรรมการบริหารคณะหนึ่งประกอบด้วยประธานกรรมการ
สาขาวิชาการทุกสาขา เลขาธิการและรองเลขาธิการสภาวิจัยแห่งชาติ และบุคคลอื่นไม่เกินห้าคนซึ่ง
คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ มีอำนาจและหน้าที่ตามที่สภาวิจัยแห่งชาติจะได้มอบหมาย และกำกับการปฏิบัติงานของสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติตามมาตรา ๑๑ วรรคสอง
ให้คณะกรรมการบริหารเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานกรรมการ
ประธานกรรมการอยู่ในตำแหน่งได้คราวละสามปี ประธานกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับ
เลือกอีกได้
ให้คณะกรรมการบริหารที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ ปฏิบัติหน้าที่ไปพลาง
ก่อนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งใหม่ “

มาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๔ กรรมการบริหารซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละ
สามปี
เมื่อได้มีการแต่งตั้งกรรมการบริหารแล้ว และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้ง
กรรมการบริหารขึ้นอีก ให้ผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการ
บริหารซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้ก่อนแล้ว “

มาตรา ๙ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๑๘ คณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสาขาวิชาการ
จากกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติตามความเหมาะสม
ให้คณะกรรมการสาขาวิชาการแต่ละสาขาคัดเลือกประธานกรรมการ
หนึ่งคน “

มาตรา ๑๐ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่ง
ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“มาตรา ๑๙ ประธานกรรมการและกรรมการสาขาวิชาการอยู่ในตำแหน่งตาม
วาระของกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ
ประธานกรรมการและกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งให้เป็น
กรรมการอีกได้'

มาตรา ๑๑ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่ง
ชาติ พ.ศ. ๒๕๐๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๒๓ ในกรณีที่สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติมอบหมายให้ผู้รับมอบ
ปฏิบัติการใด ๆ สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติจะโอนเงินไปตั้งจ่ายทางผู้รับมอบเช่นว่านั้นเพื่อใช้จ่าย
ตามรายการที่อนุมัติในงบประมาณของสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติก็ได้ “

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จอมพล ถนอม กิตติขจร
นายกรัฐมนต

Print