Page 9 -
P. 9

แนวทางปฏิบัติ

                   3.1  ในกรณีที่ข้อความที่เราเขียนขึ้น  เป็น          3.5  ในการเขียนบทความ พึงหลีกเลี่ยงการอ่าน
          องค์ความรู้หรือข้อมูลจากผู้นิพนธ์ท่านอื่นหรือบทความอื่น  จากเอกสารอ้างอิงพร้อมกับเขียนต้นฉบับบทความไปด้วย

          และข้อความนั้นผู้อ่านอาจจะต้องการรู้ที่มาที่ไป ให้อ้างอิง หรือคัดลอกข้อความจากที่อื่นมาแปะในต้นฉบับบทความที่
          บทความเดิมไว้ด้วย (ดูหัวข้อ references and citations  ก�าลังเขียน ถ้าปฏิบัติตามหลักการนี้ได้โอกาสที่จะบังเอิญเขียน
          ประกอบ)                                             ไปตรงกับข้อความในเอกสารอ้างอิงจนเข้าข่าย plagiarism
                                                              จะเป็นไปได้ยาก ในกรณีที่ผู้เขียนยังไม่แน่ใจว่าข้อความที่ตน
                   3.2  จากกรณีในข้อแรก  ผู้เขียนควรจะต้อง เขียนนั้น ซ�้ากับข้อความที่ผู้อื่นเขียนก่อนหน้านี้อย่างไม่
          พยายามทวนความ (paraphrase) หรือ ย่อความ (summarize)   เหมาะสมหรือไม่ ผู้เขียนอาจจะตรวจสอบโดยโปรแกรม

          ด้วยวาจา ลีลา และโวหารของตนเองในการเล่าองค์ความรู้ นั้น ๆ  ตรวจสอบ plagiarism ต่าง ๆ ที่มีอยู่ท้องตลาดได้บางวารสาร
          ไม่ควรน�าลีลาและโวหารของเดิมมาใช้ใหม่ ยกเว้นในกรณีที่  (http://en.wikipedia.org/wiki/Plagiarism_detection)
          การเล่าความหรือทวนความ ไม่สามารถเล่าใหม่ได้ด้วย
          วาจาลีลา และโวหารใหม่ได้                                     3.6  ในกรณีที่บทความต้นฉบับที่ผู้เขียนต้องการ

                                                              น�ามาอ้างอิงเป็นบทความที่ตนเขียนเอง หรือข้อความที่ผู้เขียน
                   3.3  ในบางกรณีการทวนความหรือย่อความ   ต้องการเขียนนั้น ผู้เขียนได้เคยเขียนลงบทความอื่นมาแล้ว
          อาจท�าให้ความหมายเปลี่ยนไป หรืออรรถรสในการอ่าน  เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาการลอกเลียนตนเองโดยมิชอบ
          เปลี่ยนไป เช่น ความเดิมเป็นร้อยกรองความเดิมเป็นการเล่นค�า (self - plagiarism) ให้ผู้เขียนพึงปฏิบัติต่อข้อเขียนของตน
          และมีความหมายหลายแง่ให้ผู้อ่านคิดหรือความเดิมเป็น ดั่งเป็นข้อเขียนของบุคคลอื่น กล่าวโดยย่อคือมีการทวนความ
          ประโยคอมตะ ซึ่งผู้อ่านส่วนใหญ่รู้จักดี ในกรณีดังกล่าวผู้เขียน หรือย่อความและการอ้างอิงอย่างเหมาะสม

          จ�าเป็นต้องยกข้อความเดิมมาทั้งชุดให้ผู้เขียนใส่ข้อความเดิมไว้
          ภายในเครื่องหมายอัญประกาศ พร้อมทั้งอ้างอิงข้อความ            3.7 การที่สองบทความมีข้อความเหมือนกันนั้น
          เดิมด้วย                                            ในตัวมันเองมิได้เป็น plagiarism ไปโดยอัตโนมัติหรือ
                                                              การที่ท�าการอ้างอิงแล้ว ก็มิใช่เป็นการปฏิเสธว่าข้อความ
                   3.4  เมื่อเขียนบทความเสร็จทุกครั้งแล้ว ควร  ดังกล่าวมิใช่ plagiarism โดยสิ้นเชิง ผู้พิจารณาควรพิจารณา

          ตรวจสอบโดยการเทียบบทความที่ตนเขียนกับบทความที่ตน หลักการและเหตุผลและแนวทางปฏิบัติทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น
          ใช้อ้างอิง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อความใดที่เข้าข่ายการ  โดยรวม
          ลอกเลียนโดยมิชอบ
                                                                       3.8 หลักการข้างต้นสามารถน�ามาประยุกต์ใช้
                                                              ในกรณีของรูปภาพหรือข้อมูลอย่างอื่นได้ด้วย ในกรณีของ
                                                              รูปภาพหรือตารางแสดงข้อมูล ถ้ามีการเผยแพร่ซ�้าจะต้อง

                                                              ขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อนและมีการอ้างอิงอย่าง
                                                              เหมาะสมด้วย
















            ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คู่มือมาตรฐานการเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการ  จัดท�าโดย ส�านักงานคณะกรรมการวิจัย
            แห่งชาติ (วช.) เลขที่ 196 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 โทรศัพท์ 0 2579 1370 – 9


         สำ�นักง�นก�รวิจัยแห่งช�ติ (วช.)
         National Research Council of Thailand (NRCT)                                                         9
   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14